ประวัติและปฏิปทา
พระหลวงปู่คำตา
ทีปังกโร
วัดป่าภูคันจ้อง ต.คำด้วง
ชาติภูมิ
หลวงปู่คำตา ทีปังกโร มีชาติกำเนิด ในสกุล ศรบัว
เกิดเมื่อวันที่ ๒ เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๗๐ ตรงกับปีเถาะ
วันเสาร์ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๕ ณ บ้านโนนซาติ ตำบลนาดี อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัด
อุดรธานี
โยมบิดา ชื่อ ผง โยมมารดา ชื่อ ผา
ท่านมีพี่น้องร่วมบิดา - มารดา เดียวกัน ๕ คน เป็นชาย ๒ คน
เป็นหญิง ๓ คน
ปัจจุบันพี่สาวของท่านยังมีชีวิตอยู่
หลวงปู่คำตา เป็นลูกคนสุดท้อง เมื่ออายุ ๒๑ ปี
หลวงปู่คำตาท่านได้รับคัดเลือกเป็นทหารเกณฑ์
เมื่อเป็นทหารจนครบกำหนดแล้วตามประเพณีทางภาคอีสานจะต้องบวชเสียก่อนค่อยแต่งงาน
ส่วนมากสมัยก่อน พออายุครบ ๒๐ ปี ก็ต้องบวชอย่างน้อย๑ พรรษา พออายุครบ ๒๑ ปี
ผ่านการคัดเลือกทหารแล้ว
หากถูกคัดเลือกเป็นทหารก็ต้องไปเป็นทหารก่อนค่อยแต่งงาน
สำหรับหลวงปู่หลังจากที่ปลดประจำการ
หลวงปู่ท่านได้ อุปสมบทโดยบวชเป็นพระฝ่ายมหานิกาย ๑ พรรษา
เมื่ออายุประมาณ ๒๓ ปี
เมื่อลาสิกขาแล้วท่านได้แต่งงานกับนางสาวจันทร์ นามลี มีบุตรธิดาด้วยกัน
๙ คน เป็นหญิง ๗ คน เป็นชาย ๒ คน ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ทั้งหมด
หลวงปูเล่าให้ฟัง สมัยเมื่อหลวงปู่เป็นฆราวาส
ท่านได้ชักชวนหมู่เพื่อนและญาติพี่น้องสร้างวัดสำหรับพระกัมมัฏฐานขึ้นที่ผาด้วง
ซึ่งมีพระกัมมัฏฐานมาพักภาวนาอยู่เป็นประจำ หลวงปู่ท่านได้ไปอุปัฏฐากและฟังเทศน์
จนเกิดความเลื่อมใสในการปฏิบัติภาวนาของพระธุดงค์
หลวงปู่ได้รับการฝึกหัดการปฏิบัติตามกฎของพระธุดงค์อย่างชำนิชำนาญตามนิสัย
พระธุดงค์บางรูปท่านอยู่นาน บางองค์ท่านก็อยู่ไม่นาน
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
ต่อมาไม่มีพระอยู่จำพรรษา หลวงปู่ท่านซักชวนญาติพี่น้องไปนิมนต์พระเพื่อมาอยู่จำพรรษาโดยเดินทางไปที่วัดป่าสัมมานุสรณ์
บ้านโคกมน จังหวัดเลย ซึ่งมีหลวงปู่ชอบ ฐานสโม เป็นประธานสงฆ์
การไปนิมนต์พระไม่ได้พระ แต่ได้ข้อคิดโดยหลวงปู่ชอบ
ท่านได้ให้โอวาทว่า "การหาพระไปอยู่วัดมันยากสู้เราบวชเองไม่ได้ สร้างเราให้เป็นพระ
เมื่อฝึกใจของเราให้เป็นพระโดยสมบูรณ์แล้ว
เราก็ไม่ต้องไปหาพระภายนอกให้ลำบากอีกต่อไป พวกเรามันโง่
แสวงหาแต่พระภายนอกให้พากันบวชเอา แล้วไปอยู่วัด"
หลังจากกลับมาซึ่งตอนนั้น หลวงปู่ท่านยังไม่อยากบวช
เนื่องจากมีภาระในการเลี้ยงดูลูก ๆ ซึ่งยังเล็กอยู่และต้องสร้างฐานะครอบครัวให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง
พร้อมกับการให้ทานรักษาศีล ประกอบกันไปตามความเหมาะสม
การภาวนาก็พยายามทำเมื่อมีโอกาส โดยภาวนาบริกรรมพุทโธเป็นหลัก
หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า ช่วงไหนงานทำนาเร่งเพื่อให้เสร็จเร็ว
ท่านไม่ได้ไปวัด พอถึงวันอุโบสถ ตอนเช้าทำวัตร
สวดมนต์เสร็จก็สมาทานรักษาศีลเองโดยตั้งใจจะรักษาศีลเอง
โดยตั้งใจจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง
พอทานอาหารเช้าแล้วก็ออกไปทำงานตามปกติ เนื่องจากวัดไม่มีพระจำพรรษา
และต้องทำงานเลี้ยงครอบครัว เนื่องจากมีลูกหลายคน
แต่หลวงปู่ท่านไม่ละความพยายามในการภาวนาหลวงปู่เล่าว่า
บางครั้งขณะไถนาจิตร่วมลงสู่ความสงบ ควายพาไถออกแปลงนา
จิตก็ถอนออกจากสมาธิ ท่านก็พาควายกลับเข้ามาไถนาอีกต่อไป
โดยท่านภาวนาตลอดเวลาไม่ว่าอิริยาบถใด ไถนา ถอนกล้า ดำนา
จนจิตของท่านมีความชำนาญในการทำสมาธิมากการทำนาไม่มีความเหนื่อยล้า เนื่องจากจิตของท่านมีความสงบร่มเย็นด้วยอำนาจของสมาธิ
หลวงปู่เริ่มเห็นคุณค่าของการทำสมาธิตอนนั้นเริ่มมีความอยากบวชในพระพุทธศาสนาตามลำดับ
วันหนึ่งไปเลี้ยงควาย
ภาวนาไปด้วยเวลานั่งเฝ้าถวายก็ภาวนาบางครั้งจิตสงบลงจนควายไปไกล
พอจิตถอนจากสมาธิท่านก็ลุกตามควายไปพอตามทันก็นั่งสมาธิอีก ทำอยู่อย่างนั้นตลอดวัน
บางครั้งเฝ้าควายอยู่กำลังสูบบุหรี่
พอสูบเข้าไปท่านมองเห็นควันบุหรี่เข้าไปในปอด มองดูเห็นหน้าอกเห็นหมด พวกตับ ไต
ไส้พุงต่าง ๆ ท่านเลยนั่งกำหนดดูจนควายกินหญ้าไปไกล พอออกจากสมาธิแล้วตามควายไป
จากนั้นท่านก็มีความอยากบวชเป็นกำลัง
เนื่องจากการเป็นฆราวาสมีเวลาน้อยยุ่งยากไม่สะดวก
อุปสมบท
ท่านจึงเริ่มแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ขณะนั้นวัดเทพธารทองมีชื่อเสียงมากในการปฏิบัติ
ท่านจึงได้มอบทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ทั้งหมดให้แก่ภรรยาและลูก ๆ ทุกคน
ซึ่งสามารถเลี้ยงชีวิตโดยไม่ลำบากจึงตัดสินใจลาออกบวช โดยมุ่งหน้าสู่วัดเทพธารทอง
หลวงปู่ได้เดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์ ขอบวชในพระพุทธศาสนากับพระอาจารย์บัวไล
ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส ท่านได้รับฝึกหัดขานนาคจนชำนาญจึงอนุญาตให้บวช
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
หลวงปู่ท่านอุปสมบท เมื่อวันที่ ๒๐ เดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๑๗
เมื่ออายุ ๔๘ ปี ณ วัดเทพธารทอง ต.แก้งไก่ อ.สังคม จ.หนองคาย
โดยมี
พระครูศีลขันธ์ สังวร (อ่อนสี สุเมโธ) วัดพระงามศรีมงคล
เป็นพระอุปัชฌาย์
พระครูญาณปรีชา (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) วัดอรัญบรรพต
เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระครูวินัยธร เป็นพระอนุสาวนาจารย์
โดยได้รับฉายาว่า "ทีปังกโร" ซึ่งแปลว่า
ชื่อของพระพุทธเจ้าทีปังกร
เมื่อบวชแล้วได้อยู่จำพรรษาที่วัดเทพธารทอง ด้วยความไม่ประมาทหลวงปู่ท่านสอนตัวเองเสมอว่า
เราบวชตอนแก่จะต้องทำความเพียรเต็มความสามารถไม่ว่าอิริยาบถใด
ท่านทำความสงบได้ไม่ยาก
กติกาวัดเทพธารทอง วันพระ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ
ห้ามไม่ให้นอนนั่งภาวนาร่วมกันที่ศาลาจนสว่าง ทั้งพระเณรและฆราวาส
ที่ไปปฏิบัติธรรมที่วัดต้องถืออย่างเคร่งครัด
สำหรับหลวงปู่ท่านมีความพอใจในการปฏิบัติแบบนี้
เพราะจะได้ทรมานกิเลสตัวที่เห็นแก่หลับแก่นอน
จิตของหลวงปู่สงบง่ายท่านบอกว่าไม่ต้องทรมานเหมือนคนอื่น
แม้แต่เวลาอยู่กันหลายองค์ กำลังพูดคุยกันอยู่ก็ยังสงบ
บางทีปล่อยให้สงบจนพระที่อยู่ด้วยกันท่านคิดว่านั่งหลับท่านบอกว่าพระเณรพูดกันได้ยินหมด
แต่ไม่สนใจ จนจิตถอนออกจากสมาธิแล้วคุยกับพระเณรต่อ พระถามท่านว่านั่งหลับหรือ
ท่านไม่พูดเพียงแต่ยิ้ม ๆ เพราะเขาไม่รู้
วันหนึ่งท่านนั่งสมาธิอยู่บนกุฏิเกิดนิมิตเห็นเพื่อนของท่าน เดินขึ้นมาบนกุฏิ
มาหาท่านเขาตัดผมใหม่ เขาบอกว่าเขาตายแล้วและขออนุญาตหลวงปู่จะไปอยู่วิมานหลวงปู่ถามว่า
ทำไมไม่ไปอยู่ เขาบอกว่าอยู่ไม่ได้ต้องขออนุญาตจากหลวงปู่ก่อน
เพราะท่านออกค่าใช้จ่ายมากกว่า หลวงปู่เลยบอกว่า เรายกให้เลย เรายกให้ทั้งหมด
เราไม่เอา เขากราบลาแล้วลงจากกุฏิด้วยความยินดี หลวงปู่เล่าว่า สมัยยังไม่บวกไปสร้างกุฏิด้วยกันโดยหลวงปู่
ออกเงินค่าใช้จ่ายมากกว่า ฉะนั้นท่านจึงมีสิทธิมากกว่าเขาถ้าตายก็ต้องอยู่ด้วยกัน
เขาก็ต้องไปเกิดเป็นบริวาร เพราะบุญน้อยกว่า แต่หลวงปู่ท่านสละทานให้ เพราะบวชแล้ว
และเป็นการสงเคราะห์เพื่อน พอต่อมาไม่นานมีญาติมาเยี่ยมท่าน
จึงถามข่าวถึงเพื่อนเขาบอกว่าตายแล้ว
ท่านก็หมดความสงสัยในความรู้ที่เกิดขึ้นความรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ
เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปฏิบัติ ตั้งแต่เริ่มภาวนาใหม่ ๆ
ความเชื่อและศรัทธามีความแน่นหนามั่นคงตามลำดับ
ถึงสมาธิของท่านจะแน่นหนามั่นคงขนาดไหน พอมีช่องว่างกิเลสก็เข้าแทรกทันทีวันหนึ่งเกิดคิดถึงบ้านคิดถึงลูกยังเล็ก
ๆ อยู่ คงจะลำบากเกิดความสงสาร คิดอยากจะสึกเต็มกำลัง ภาวนาอย่างไรก็ไม่สงบ
มีแต่ความฟุ้งซ่านรำคาญ ทนไม่ได้ก็เลยหยุดภาวนา เลยเดินไปบริเวณวัด
พอดีไปเจอสามเณรน้อยนั่งอยู่คนเดียว เลยนั่งคุยกับสามเณรว่าอยากสึกไหม สามเณรตอบท่านว่า
ไม่อยากสึก ขี้เกียจไปเลี้ยงควาย ไม่ไปก็ไม่ได้แม่จะตีเอา
เวลาไปเลี้ยงควายริ้นมันกัดหัวกัดหูไม่อยากสึกพอสามเณรพูดจบ
หลวงปู่ท่านได้สติทันที ท่านพูดกับตนเองว่าขนาดสามเณรยังรู้ว่าเลี้ยงควายมันลำบาก
แต่เราแก่ขนาดนี้ยังไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์ ยังจะมาอวดดีหรือว่าตนเองฉลาด
หลังจากนั้นพอกลับจากกุฏินั่งภาวนาจิตก็รวมสู่ความสงบ
พอจิตถอนจากสมาธิแล้วท่านจึงเริ่มพิจารณาถึงเหตุที่ทำให้จิตเสื่อมจากสมาธิ
เพราะความประมาทหลงติดสุขในสมาธิไม่ยอมพิจารณาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
ท่านจึงเริ่มพิจารณาตั้งแต่สมัยท่านแต่งงานใหม่ ๆ
ต้องทำบาปเพราะหาเลี้ยงชีวิตเพราะความยึดมั่นในตัวภรรยาว่าเป็นของเรา
แล้วเกิดความหึงหวงเหมือนประหนึ่งว่าจะไม่ตายจากกันจะไปไหนก็ไม่ได้จิตมีแต่ความทุกข์
มีแต่ความอาลัยอาวรณ์
เวลาไม่สบายก็ต้องดูแลกันเป็นทุกข์เป็นทุกข์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย พออยู่มาไม่นานก็มีลูกทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย
ยิ่งต้องทำบาปทำกรรมหนักขึ้นไปอีก แทบจะหาบุญไม่เจอไม่ทำก็ไม่มีกิน เพราะลูก ๆ
ตาดำ ๆ ให้เขากินอะไร
ท่านถึงกับพูดว่า คนเราทุกข์เพราะการกิน
เมื่อท่านพิจารณาอย่างละเอียดตามหลักความจริงแล้ว
ถึงแม้จะรักจะหึงหวงภรรยาของเราขนาดไหน สุดท้ายก็ต้องพลัดพรากตายจากกันไป
แม้แต่ลูก ๆ ก็เหมือน
กันไม่มีใครในโลกจะสามารถยับยั้งสิ่งเหล่านี้ได้
ทุกอย่างเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์ด้วยกัน
หลวงปู่เคยพูดเสมอเมื่อลูกศิษย์ไปกราบท่าน พูดเป็นภาษาอีสานว่า
"ฮักลูกพอปานเชือกผูกคอฮักหลานพอปานปอผูกศอกฮักข้าวของเงินทองพอปานปอกมัดขาท่านว่ามัดสามประการนี้แหละจึงออกจากบ้านจากเรือนมาอยู่วัดไม่ได้เมื่อท่านพิจารณาเห็นตามหลักของความจริง
จิตก็มีแต่ความสงบร่มเย็น การภาวนาก็ก้าว
หน้าหมดความอาลัยในการที่จะลาสึกอีกวันหนึ่งตอนกลางคืนกำลังเดินจงกรม
จิตมีความสงบเกิดแสงสว่างทั่วสุดทางจงกรมและมีโครงกระดูกลอยอยู่ข้างหน้า
ท่านก็เดินจงกรมตามไปพอสุดทางจงกรม พอจะเลี้ยวกลับท่านคิดว่ามันจะมาข้างหลังหรือ
พอหันกลับมาก็เจอโครงกระดูกอีก แต่ท่านตั้งสติ
และเดินจงกรมเรื่อย ๆ พอไม่นานโครงกระดูกก็หายไป
ท่านได้พิจารณาดูแล้ว เห็นว่าคนเราหลงโครงกระดูกที่มีเครื่องประดับประกอบด้วยของปฏิกูลต่าง
ๆ ประกอบไปด้วยอาการ ๓๒ ประการ อันได้แก่ เนื้อ หนัง เอ็น กระดูก
เมื่อรวมกันแล้วเรียกว่า คนแล้วก็ยึดมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนลืมเนื้อลืมตัว
ยึดมั่นถือมั่นในตนเองมีสมบัติมากลืมเนื้อลืมตัว มีบริษัทบริวารมากลืมเนื้อลืมตัว
มียศถาบรรดาศักดิ์มากลืมเนื้อลืมตัว
ยิ่งพิจารณายิ่งเห็นความน่าเบื่อหน่ายของกิเลสตัณหาไม่ว่าเขาไม่ว่าเรา
ถ้าไม่มีธรรมเข้าครอบครองหัวใจแล้วเป็นได้ทั้งนั้น
นี้แหละเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ในวัฏสงสาร
หลงทำกรรมอันชั่วลามกก็เพราะความลืมตัวลืมตน หยิ่งยโส นำมาซึ่งความตกต่ำ เกิดมาก็อด
ๆ อยาก ๆ มีอำนาจวาสนาน้อยเพราะการกระทำของตนเอง
คนเราทุกข์เพราะความหลงในร่างกายอันเป็นของไม่เที่ยงเกิดขึ้นมาแล้วก็รอแต่การแตกสลายในที่สุด
เราควรจะรีบเร่งทำความเพียร เพื่อจะออกจากทุกข์
เพื่อละความยึดมั่นในสิ่งทั้งหลายดีกว่า
แก้ไขล่าสุดโดย อริยชน เมื่อ 25 มี.ค. 2009, 15:06, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
หลวงปู่ท่านมีความรู้เกี่ยวกับพวกกายทิพย์
ท่านเล่าว่าวัดเทพธารทองมีพวกภูมิยักษ์แสดงอิทธิฤทธิ์ให้ท่านดู
เขายืนทีกลางแม่น้ำโขง แม่น้ำโขงลึกเพียงแค่หน้าแข้ง
ตัวเขาใหญ่มากเขาแสดงให้ท่านดู ท่านเร่งภาวนาอย่างหนัก ทั้งอดนอนทั้งอดอาหารสลับกัน
ท่านสอนตนเองเสมอว่า "ท่านบวชตอนแก่ ต้องทำความเพียรแข่งกับความตาย
ซึ่งไม่รู้วันไหนจะตายจากโลกนี้" ท่านมีความเด็ดเดี่ยวมากในการทำความเพียร
บางคืนนั่งภาวนาจนสว่าง
บางคืนเดินจงกรมตลอดคืน
ช่วงหลังการภาวนาไม่สะดวก เนื่องจากญาติโยม - พระเณรมีจำนวนมากขึ้น
เพราะสมัยนั้นวัดเทพธารทองกำลังโด่งดังมากในเรื่องการปฏิบัติภาวนา
หลวงปู่ท่านจึงตัดสินใจลา
พ่อ - แม่ครูอาจารย์ออกเที่ยวธุดงค์
เพื่อแสวงหาที่สงบในการที่จะทำลายกิเลสตัณหาที่ยังบังคับจิตใจ
แทบจะหาความสุขแทบจะไม่มีประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๒ หลวงปู่ได้ธุดงค์ภาวนาหลายที่ท่านเล่าว่า
ท่านไปภาวนาอยู่ทางสกลนคร ท่านว่าวัดอยู่กลางทุ่งเป็นวัดร้างไม่มีพระอยู่
การภาวนาสงบทั้งกลางวันกลางคืน บางคืนเดินจงกรมจนสว่าง มีแต่ความสงบเยือกเย็น
บางคืนนั่งภาวนาตลอดคืนจิตมีแต่ความดื่มด่ำไม่อยากหยุด
จิตหมุนตลอดเวลาในการทำความเพียรภาวนา ที่วัดนั้นมีเปรตเป็นมิจฉาทิฐิ พอนั่ง
ภาวนาเขาขึ้นมาหาตอนแรกไม่ยอมกราบท่านจึงอบรมเทศนาให้ฟังถึงบาปบุญทั้งคุณและโทษ
ที่ตัวเขากระทำ จึงได้มารับบาปกรรมที่ตนเองก่อในที่สุดเขาก็ยอมรับและกราบท่าน
ที่วัดนั้นมีสระน้ำ หน้าแล้งน้ำแห้งท่านนิมิตเห็นพระพุทธรูปทองคำอยู่ในสระ
ตอนเช้าท่านออกไปดูแด่ไม่เจอมีแต่โคลนตมเพราะควายลงไปนอนโคลนมีแต่ตมเต็มไปหมด
คืนหนึ่งท่านภาวนาจิตมีความสงบเกิดนิมิตขึ้นเกิดมีห้องนอน ๔ ห้อง ๓ ห้องว่างเปล่า
อีกห้องมีผ้าขาวอยู์ในห้อง พร้อมมีเสียงพูดว่า ขอนิมนต์ท่านเข้าพักห้องนี้
หลวงปู่ท่านพยายามพิจารณาอย่างไรก็พิจารณาไม่ออกว่ามันแปลว่าอะไร
จะถามใครหนอเพราะตอนนั้นท่านอยู่องค์เดียว ท่านเกิดความวิตกว่าจะมีเหตุใดหนอ
จึงตัดสินใจเดินจากที่นั่นทั้งที่เสียดายเพราะภาวนาดีมากท่านกะว่าจะไปถามครูบา-อาจารย์
ให้ท่านแก้ปัญหาให้เสียก่อนค่อยจะกลับมาภาวนาต่อ ท่านได้เดินทางไปหลายสำนักเพื่อกราบเรียนถามท่านตอบมาก็รู้สึกไม่ค่อยลงใจ
ท่านไปหาครูบา-อาจารย์หลายองค์
ตอบไม่เหมือนกัน และยิ่งทำให้ไม่สบายใจ
พอดีนึกขึ้นได้ว่า หลวงปู่เพียร วิริโย วัดป่าหนองกอง บ้านหนองกอง อ.บ้านผือ
จ.อุดรธานี หลวงปู่จึงได้เดินทางมาที่วัดป่าหนองกอง
เพื่อกราบขออยู่ปฏิบัติธรรมกับท่านหลวงปู่เพียร วิริโย เมื่อมีโอกาส
หลวงปู่จึงกราบเรียนถามท่านเกี่ยวกับนิมิตที่ปรากฏ เมื่อกราบเรียนถามท่าน
หลวงปู่เพียร ท่านก็แก้ว่า ห้องนอน ๔ ห้อง หมายถึง หัวใจของคนมี ๔ห้อง
ส่วนผ้าขาวที่อยู่ห้องนั้นหมายถึงความบริสุทธิ์ของใจ พอหลวงปู่เพียร
พูดจบหลวงปู่เข้าใจทันที ท่านว่าหากเราไม่หนีจากที่นั้น
หากเร่งทำความเพียรจะต้องเห็นธรรมของจริง ท่านเฉยดายมาก
จากนั้นมาไม่เคยได้กลับไปอีกเลย เมื่อมาอยู่วัดป่าหนองกอง จิตมีความสงบร่มเย็น
เนื่องจากอยู่กับอาจารย์ที่ทรงอรรถทรงธรรม หลวงปู่ได้รับอุบายอย่างต่อเนื่อง
การภาวนายิ่งเจริญบงอกงามตามลำดับ
แต่ท่านไม่ประมาทรีบเร่งขวนขวาย
ท่านว่าที่ป่าหนองกองมีลาภสักการะมากงานนิมนต์ก็มากทำให้ไม่สะดวกในการทำความเพียรขั้นแตกหัก
พออยู่ครบ ๕ พรรษา
แล้วจึงขออนุญาตหลวงปู่เพียรออกธุดงค์ เพื่อหาที่เหมาะสมในการจะกำจัดกิเลสตัวฉกาจที่ยังอยู่ในหัวใจ
เมื่อหลวงปู่เข้าไปขอโอกาสเพื่อขอออกธุดงค์
หลวงปู่เพียรท่านได้พูดกับหลวงปู่เป็นเชิงห้าม
โดยพูดว่า "มีนาเฟืองแล้ว
ซ่างอยากดำนาซ่าว เข้า (ข้าว) กะมีอยู่เล้า ซ่างไปส้นป่ากอย" ความหมายแปลว่า
หลวงปู่มีคุณธรรมพอรักษาตัวเองได้ทำไมจะต้องไปแสวงหาที่อื่นอีก
พอหลวงปู่เพียรพูดจบ ท่านก็นึกในใจว่า หลวงปู่เพียร พูดก็ถูกของท่าน
เพราะหลวงปู่เพียรท่านทามากจนพอแล้ว แต่ตัวเรายังไม่ทันหมดสิ้นจากกิเลส
เราจะต้องพยายามทำที่สุดแห่งทุกข์ให้ได้ หากกิเลสยังไม่หมดจากใจจะไม่ลงจากภูเขาโดยเด็ดขาด
หลังจากลาหลวงปู่เพียรเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางสู่เทือกเขาภูพาน
เพื่อบำเพ็ญภาวนาหลายแห่ง แต่ก็ไม่ได้ดั่งตั้งใจจนธุดงค์มาถึงถ้ำแก้ว
บ้านนาหลวงรู้สึกชอบมาก เพราะไกลจากหมู่บ้านมาก
สงบทั้งกลางวันและกลางคืนการบิณฑบาตก็พอได้ฉัน โดยบิณฑบาตกับชาวบ้านที่ไปทำไร่ประมาณ
๑๐ หลังคาเรือน สัปปายะมาก
ความเพียร
การทำความเพียรของท่านหนักขึ้นตามลำดับ
บางครั้งเดินจงกรมโซซัดโซเซ
ถึงกลับนอนหลับบนก้อนหินที่ขรุขระได้พอรู้สึกตัวตามด้านข้างของท่านเป็นหลุม ๆ
เพราะหินเป็นปุ่ม ๆ ท่านว่ามันน่าเบื่อหน่ายในสังขาร พอตั้งสติก็ต่อสู้กับกิเลสอีกต่อไปไม่อาลัยในชีวิต
ทุกข์เราก็ทุกข์มาตั้งแต่เกิด ทุกข์เพราะการอยู่การกินทุกข์เพราะการขับถ่าย
ทุกข์เพราะต้องชำระร่างกาย ทุกข์เพราะความเจ็บไข้ ทุกข์เพราะความคับแค้นจิตใจ
ทุกข์เพราะร้อนเพราะความเกิด เพราะความเจ็บป่วย ทุกข์เพราะความชราภาพ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของความทุกข์ทั้งนั้น
ทุกข์เพราะการภาวนาถึงจะหนักขนาดไหน
เราก็ต้องอดทนจะตายก็ขอให้ฝ่ายในการภาวนาดีกว่าตายเพราะการทำความชั่ว
หลวงปู่ท่านปลุกใจตนเองให้สู้กับกิเลสตัวพาให้จิตใจอ่อนแอ
ท้อแท้ส่วนมากท่านอยู่องค์เดียว การภาวนาของท่านจึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ไม่ขาดวรรคขาดตอน ที่ถ้ำแก้วท่านเล่าว่ามีแก้วจริง ๆ
ภูมิเทวดาเขาเอาลูกแก้วมาถวายท่าน แต่ท่านไม่รับ
ท่านบอกเขาว่าท่านมาบำเพ็ญภาวนาไม่ต้องการอะไรต้องการชำระกิเลสเท่านั้น
อาตมาไม่เอาเก็บไว้เถิด ท่านว่าลูกแก้ว
ใหญ่ประมาณเท่าแขน มีหลายสีสวยงาม แต่ท่านไม่อยากได้ตอนนั้น
ท่านป่วยเป็นไข้มาลาเรีย บางวันจับไข้นอนป่วยอยู่องค์เดียว
กำหนดภาวนาจิตสงบนิ่งไม่กระดุกกระดิก เวทนาหายหมดเหมือน
ไม่มีอะไร
มีแต่ความรู้เดินอยู่พอเราพลิกตัวเวทนาก็เข้ามาอีกพอเรานิ่ง ๆ
จิดนิ่งเวทนาก็เหมือนไม่มี ท่านเลยนอนนิ่ง ๆ ตั้งสติอยู่กับความสงบจนไข้สร่าง
จึงลุกขึ้นนั่งภาวนาเดินจงกรมสลับกันไป
ความรู้เกิดขึ้นกับท่านหลายอย่างครั้งหนึ่งท่านนิมิตว่าได้ไปบนบ้านหลังหนึ่งสวยงามอยู่ใกล้กับถ้ำที่ท่านอยู่
พอตอนเช้าไปดูพบว่าเป็นต้นไม้ใหญ่ท่านว่าเป็นรุกขเทวดาเขาอยู่ตามหน้าผาบริเวณวัดถั้าแก้วเป็นที่อยู่ของภูมิเทวดา
การรู้การเห็นสิ่งเหล่านี้
ทำให้ท่านได้รู้เห็นกรรมของสัตว์ที่ท่องเที่ยวในวัฏสงสาร
การเกิดย่อมมีแก่สัตว์ทั้งหลายคืนหนึ่งท่านนิมิตว่าได้ขึ้นไปเที่ยวบนสวรรค์
แต่ไม่รู้ว่าชั้นไหนเลยไปพบกับภรรยาเก่าของท่านแต่ชาติก่อน
พอไปเจอหน้าก็รู้สึกคุ้นเคยเขาแสดงความสนิทสนมประหนึ่งว่าอยู่ร่วมกันใหม่ ๆ
ท่านก็รู้สึกว่าที่เขาอยู่สะอาดสะอ้านน่าอยู่ ท่านรู้สึกละอายใจมาก
เขานิมนต์ให้ท่านอยู่ด้วยแต่ท่านไม่อยู่
ตอนนั้นใกล้สว่างนึกถึงผ้าครองกลัวผิดวินัย จึงรีบกลับลงมา
พอรู้สึกตัวท่านรู้สึกว่าตัวเองนี้โง่มากเป็นผู้ชายแท้ ๆ ยังแพ้ผู้หญิงเขาไปเกิดเป็นเทวดา
เสวยทิพย์วิมานมีความสุขทั้งกลางวันกลางคืน ส่วนเรามาเกิดเป็นมนุษย์มีแต่ทุกข์ตลอด
แหมเราช่างหน้าอายผู้หญิง
ท่านพูดกับตัวเองว่าเราจะต้องให้ได้ดีกว่าเขาเพราะเราเป็นผู้ชายจะไม่ยอมเสียเปรียบผู้หญิง
เราจะต้องไปสูงกว่าเขาท่านยิ่งเร่งภาวนาหนักกว่าเดิม
ตอนแรกท่านอยู่ถ้ำต่อมามีศรัทธาสร้างกุฏิถวายท่านและศาลาหลังเล็ก ๆ
และจำพวกถังน้ำต่าง ๆ แท็งก์น้ำ เนื่องจากขาดแคลนน้ำในหน้าแล้ง
มีศรัทธาเริ่มรู้จัก ภายในถ้ำแล้วมีบ่อน้ำเล็ก ๆ ไม่แห้ง
แต่ไม่มากมีเฉพาะเอาไว้ฉันและล้างหน้า พระเณรเริ่มรู้จักท่าน มีพระขึ้นไปอบรมกับท่านคราวละรูปสองรูป
เนื่องจากไม่มีที่พักอีกทั้งยังขาดแคลนน้ำและอาหาร
ท่านตั้งใจว่าจะอยู่ที่วัดถ้ำแล้วตลอด แต่ต้องจำใจจากวัดถ้ำแล้วอันแสนวิเวก
สงบสงัด เพราะทางราชการได้ให้ชาวบ้านที่ทำไร่ลงมาอยู่บ้านนาหลวง
เพราะเขาถือว่าชาวบ้านทำลายป่า หลวงปู่เลยต้องย้ายจากวัดถ้ำแล้วลงมากับญาติโยม
หลวงปู่จำพรรษาวัดถ้ำพระนาหลวง
มีพระขึ้นไปจำพรรษากับหลวงปู่ มีพระ ๕ รูป สามเณร ๔ รูป รวม ๙
รูปทั้งหลวงปู่ความเป็นอยู่มีความลำบากมาก
เพราะจำพรรษาด้วยกันหลายองค์หลวงปู่ท่านให้พระ-เณรถือธุดงค์หมดทุกรูป
โดยท่านเน้นหนักมากคือ การเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
วันไหนไม่ได้บิณฑบาตวันนั้นก็ไม่ฉัน ฉันหนเดียวเป็นวัตร ฉันภาชนะเดียวเป็นวัตร
โดยอาหารจัดลงเฉพาะในบาตรทั้งหวานทั้งคาว การถือผ้าไตรจีวรเป็นวัตร
คือมีผ้าสังฆาฏิ - สบง - จีวร ซึ่งถือเป็นผ้าครองเท่านั้น ส่วนวันพระถือการไม่นอน
นั่งภาวนารวมกันที่ศาลาจนสว่าง ซึ่งสมัยนั้นข้อวัตรในการปฏิบัติของท่าน ตอนประมาณ
๑๙.๐๐ น.
พระเณร และญาติโยมรวมกันที่ศาลา ถ้าเป็นวันพระ ๑๕ ค่ำ ๑๔ ค่ำ
ท่านจะพาพระภิกษุลงปาติโมกข์ก่อน สามเณรและอุบาสก -
อุบาสิกาก็ร่วมฟังด้วยและทำวัตรเย็นต่อจนจบ หลังจากเสร็จท่านให้พักเพื่อปล่อยหนัก
ปล่อยเบา เสร็จแล้วก็รวมกันอีกครั้งหนึ่ง
โดยหลวงปู่ท่านเทศน์อบรมถึงการปฏิบัติโดยให้ถือธุดงค์อย่างเคร่งครัด
ถึงแม้จะอดอยากสักปานใดก็ต้องต่อสู้ เมื่อตั้งสัจจะสิงใดแล้ว ต้องพยายามอดทน
แม้ตายก็ไม่ควรเสียดายชีวิต ความกลัวตายเป็นเรื่องของกิเลส พวกท่านบวชน้อยเพียงหนึ่งพรรษา
ฉะนั้นต้องภาวนาทำความเพียรให้มากถึงจะคุ้มค่ากับการบวช
ให้พวกท่านตั้งใจภาวนาไม่ต้องทำอะไร ให้บริกรรมภาวนาอยู่กับพุทโธเท่านั้น
วันนี้ผมจะพานั่งภาวนาจนสว่างค่อยเลิกกัน นี้ท่านเรียกว่า เนสัชชิธุดงค์
พระพุทธเจ้ากล่าวว่าได้บุญได้อานิสงส์มากหากทำได้ เมื่อพูดจบก็แนะนำการนั่ง
ขาขวาทับขาซ้าย ตั้งกายให้ตรง ตั้งสติอยู่กับลมหายใจเข้าออกโดยบริกรรมพุทโธ
เพราะตอนนั้นมีแต่ลูกศิษย์บวชใหม่
ตั้งใจบวชแค่หนึ่งพรรษาเท่านั้น
จะมีพระเก่าก็เพียงท่านกับพระองค์รองจากท่าน พรรษา ๕ เท่านั้น หลังจากนั้นก็นั่งภาวนา
ความเงียบความวังเวงประหนึ่งว่านั่งอยู่คนเดียว
สมัยนั้นการนั่งสมาธิก็นั่งเลยไม่มีเปิดเทปให้ฟัง เพียงจุดตะเกียงไว้เท่านั้น
นั่งแต่ ๓ ทุ่ม ถึง ๖ ทุ่ม ท่านก็กระแอมและบอกให้พักเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ
แต่หลวงปู่ท่านยังนั่งอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่เหยียดขา แขน
นิดหน่อยท่านไม่ค่อยพูดหลังจากนั้นเวลา ๐๑.๐๐ น. ท่านก็พานั่งต่ออีกจนถึงเวลา ๐๔.๐๐
น. ท่านก็ให้ไปล้างหน้าทำกิจธุระส่วนตัวเสร็จก็ทำวัตรสวดมนต์
ทำวัตรเช้าเสร็จทำกิจวัตรตั้งที่ฉันเสร็จแล้วเตรียมออกไปบิณฑบาตตามปกติที่ในหมู่บ้านนาหลวง
หลวงปู่ท่านนำบิณฑบาตไม่เคยขาด ประหนึ่งว่าท่านไม่เหนื่อย
ทั้งที่ไม่นอนตลอดทั้งคืน ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกศิษย์
ไม่เคยแสดงความอ่อนแอท้อแท้ให้ปรากฏ ในพรรษามีพระป่วย ๓ รูป
ป่วยหนักมากเพราะเป็นไข้ ยารักษาไม่มี หาสมุนไพรมาต้มฉันกัน
หลวงปู่ท่านสั่งให้ชาวนาอย่างเดียวไม่ต้องกลัว
สมัยนั้นถนนลำบากมากรถก็ไม่มีแม้แต่เงินกลางสงฆ์ก็แทบไม่มี สบู่ ยาสีฟัน ยาแก้ไข้
แก้ปวดก็หายากและอยู่กันหลายองค์ แต่ก็รอดตายกันทุกองค์
หลวงปู่ท่านทำความเพียรของท่านอย่างหนักหาผู้เทียบยากเท่าที่เคยเห็นมาพอออกพรรษาแล้วไม่มีกฐิน
ผ้าป่า ต่างองค์ต่างแยกย้ายกันคงเหลือแต่ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดที่ติดตามท่าน
พอออกพรรษานานพอสมควรแล้วท่านได้พาลูกศิษย์ออกธุดงค์หลายที่
จากนั้นท่านได้ไปจำพรรษาที่ บ้านนาเก็น อ.น้ำโสม
จ.อุดรธานีในพรรษานี้มีพระเณรจำพรรษาประมาณ ๑๐ กว่ารูป เหตุที่จำพรรษา
เพราะต้องการสงเคราะห์ญาติโยมบ้านนาเก็นที่เคยขึ้นไปอุปัฏฐาก
สมัยที่จำพรรษาที่ภูถ้ำแก้ว
ทำให้ท่านนึกถึงอุปการคุณที่ญาติโยมได้ช่วยกันบริจาคสิ่งของต่าง ๆ
ในดอนท่านเร่งภาวนาให้ได้รับความสะดวกสบายในการทำความเพียรภาวนา
การปฏิบัติก็เหมือนที่ท่านเคยทำมา คืนวันพระนั่งภาวนาตลอดคืนถือการไม่นอนนั่งภาวนารวมกันที่ศาลา
การปฏิบัติแบบนี้ท่านทำมาตั้งแต่วันบวช
ไม่มีว่าในพรรษา-นอกพรรษา เพราะท่านถือว่า
"กิเลสไม่มีพรรษา-นอกพรรษา
การทำความเพียรจึงไม่เกี่ยวพรรษา-นอกพรรษาจุดมุ่งหมายคือการทำลายกิเลสตัวก่อภพก่อชาติ
ตอนท่านอยู่องค์เดียวของท่าน ก็ทำมาตลอด ท่านพูดว่าผมพาพวกท่านทำเพราะความสงสารท่าน
ไม่ใช่ผมบังคับ กลัวว่าท่านจะประมาทไม่ภาวนาการภาวนามีแต่คุณไม่มีโทษ
การขี้เกียจภาวนามีแต่โทษไม่มีคุณตามปกติผมก็ทำของผมอยู่แล้ว
ในพรรษานั้นท่านพูดกับลูกศิษย์รูปหนึ่งของท่านว่า
พระองค์นั้นบวชตั้งนานไม่ภาวนาหรือ กระดูกคือดำแท้ คืนหนึ่งท่านนิมิตว่าท่านเดินตามถนนไปรอบข้างมีตมแต่โคลนเปรอะเปื้อนจีวร
ท่านพิจารณาดูรู้ว่าพระบางรูปก็ศีลไม่บริสุทธิ์ทาผิดพระวินัย
ทำให้ผู้มีศีลบริสุทธิ์เปรอะเปื้อนไปด้วย ทำให้ท่าน
เกิดความสลดสังเวชใจ
มีแต่อยากปลีกตัวหาที่สงบไกลจากหมู่บ้านความเจริญทางด้านวัตถุทำให้เหินห่างจากธรรม
ลืมพระธรรมวินัยอันพระบรมศาสดาทรงสั่งสอน พอออกพรรษาแล้ว เมื่อหมดเขต
กฐินหลวงปู่ได้ลาญาติโยมเดินธุดงค์ขึ้นสู่ภูคันจ้อง
บ.คำด้วง ต.คำด้วง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
ภูคันจ้องลักษณะเป็นภูเขาสูงโดดเด่นอยู่บนเทือกเขาภูพานซึ่งมีหินลักษณะเหมือนร่มกันฝนอยู่บนยอดเขา
ภาษาชาวบ้านเรียกว่าจริงสำหรับกันฝน บางคนก็เรียกภูจ้อง
บนยอดภูมีเพิงหินและถ้ำสามารถอยู่ภาวนาโดยไม่ต้องทำกุฏิ
หลวงปู่ได้เดินสำรวจดูแล้วรู้สึกว่าถูกใจมาก
เพราะอยู่ไกลจากหมู่บ้านห่างไกลความเจริญเหมาะสำหรับทำความเพียรภาวนาฆ่ากิเลสเป็นที่สุด
ท่านให้ญาติโยมทำแคร่ในถ้ำบนยอดเขา เพื่อเป็นที่อยู่ของท่าน สวนพระเณรลูกหลาน
ก็หาอยู่ตามเพิงหินและถ้าตามแต่ความต้องการ
ญาติโยมชาวบ้านคำด้วงคอยให้ความสะดวกในการตกแต่งที่อยู่อาศัย
ภูคันจ้องไม่มีแหล่งน้ำฉัน เพราะเป็นเขาสูง
น้ำฉันน้ำใช้ญาติโยมต้องช่วยกันหลับไปถวาย ถนนลำบากมากรถยนต์ไม่สามารถไปถึง
ส่วนมากใช้รถอีแต๊ก ซึ่งดัดแปลงจากรถไถนาเดินตาม เป็นรถลากถึงจะขึ้นไปได้
ต่อมามีญาติโยมศรัทธาในตัวท่าน จึงช่วยกันเลื่อยไม้สร้างศาลาหลังเล็ก ๆ มุงสังกะสี
เพื่อรองรับน้ำฝน ญาติโยมได้ช่วยกันซื้อโอ่งสำหรับใส่น้ำมันขึ้นไปถวายท่าน ช่วงตั้งวัดใหม่
ๆ ญาติโยมที่ไปวัดต้องตกน้ำไปด้วย เพราะบนเขาไม่มีน้ำ
แต่ก็เหมือนโชคช่วยหลวงปู่ท่านได้ให้ญาติโยมขุดบ่อน้ำช่วงตีนเขา
ปรากฏว่ามีน้ำพอได้อาบได้ใช้ห่างจากศาลาประมาณ ๕๐๐ เมตร ช่วงแรก ๆ
มีพระเณรขึ้นไปศึกษากับท่านประมาณ ๗ - ๘ รูป พระเณรต้องทำที่พักตามถ้ำไม่มีกุฏิ
เพราะวัดซึ่งตั้งใหม่และหลวงปู่ท่านไม่ให้ทำ
ท่านได้อบรมพระเณรที่ขึ้นไปศึกษากับท่าน ท่านว่า
การที่ผมมาอยู่ที่นี่ไม่ได้มาสร้างวัด
แต่ผมมาเพื่อภาวนาทำความเพียรตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
ซึ่งองค์ทรงสรรเสริญการอยู่ป่าตามถ้ำเงื้อมผาฉะนั้น ผมจึงให้ญาติโยมทำแคร่
พอพักอาศัยเท่านั้น เพิงหินและถ้ำก็กันฝนได้แล้วที่สำคัญทางเดินจงกรม
จะต้องมีทุกรูป ท่วมก็ขุดหลุมทำเป็นส้วมปล่อยก็พอ
เพราะการอยู่ในสภาพนี้ทำให้จิตใจของเราตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
ทำให้ไม่ประมาทในการทำความเพียรในการทำสมาธิ เพื่อทำสัญญาให้แจ้งในขันธ์ทั้งหลาย การบิณฑบาตระยะทางประมาณนี้
ผมว่าพอดีสำหรับพระหนุ่ม ๆ ซึ่งเป็นการฝึกหัดไปในตัว
เวลาบิณฑบาตขอให้ทุกองค์ตั้งใจว่า เรากำลังเดิน
จงกรมภาวนาอย่าคุยกัน เดินห่างกันพอประมาณ
องค์ไหนภาวนาพุทโธก็กำหนดในใจว่าเราจะตั้งใจไว้ พุทโธทั้งไปและกลับ
องค์ไหนภาวนาอานาปานุสติ ก็ตั้งใจไว้ที่ลมหายใจเข้าออก ไม่ให้ใจส่ายแสไปไหน
หรือองค์ไหนจะทบทวน ปาติโมกข์ก็ให้นึกในใจ
เพราะการท่องออกเสียงจะทำให้รบกวนคนอื่นทุกอิริยาบถการไป
การมาขอให้เป็นการภาวนาจึงจะไม่เสียเวลา
ในการขึ้นมาอยู่บนเขาเมื่อพวกท่านตั้งใจมาศึกษา ผมก็พร้อมที่จะแนะนำสั่งสอนเต็มความสามารถ
หลวงปู่เข้มงวดมากในข้อวัตรปฏิบัติ ถ้ำที่หลวงปู่พักอยู่บนยอดเขาห่างจากศาลาประมาณ
๑ กิโลเมตร พระเณรก็อยู่รอบ ๆ ท่าน ตอนเช้าประมาณตี ๔
หลวงปู่ท่านก็จะเดินลงมาจากยอดเขาท่านมักจะใช้โคมเทียน ส่วนไฟฉายนานๆ
ก็จะใช้ทีหนึ่ง ส่วนพระ
เณรก็ต้องลงมาแต่เช้า เพื่อจัดที่ฉันอาหารที่ศาลา
พอเสร็จก็นั่งภาวนาอยู่ไม่ให้คุยกัน หลวงปู่พอท่านลงมาถึงศาลา
หลังจากกราบพระประธานท่านก็จะนั่งภาวนา
พอสว่างได้อรุณท่านก็ห่มผ้าจีวรช้อนด้วยสังฆาฏิ
ส่วนพระเณรก็เหมือนกันค่อยเดินจากศาลามุ่งเข้าสู่หมู่บ้าน ต่างองค์ต่างเดิน
ส่วนหลวงปู่ท่านก็จะเดินตามท้าย ๆ พอบิณฑบาตออกมาพ้นหมู่บ้าน พระเณรก็รับบาตร
เดินก่อนต้องเปลี่ยนกันครึ่งทาง เพราะระยะทางไกล วัดห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๖
กิโลเมตร ไปกลับก็ประมาณ ๑๒ กิโลเมดร ใช้เวลา
ประมาณ ๓ ซั่วโมงไปกลับ นับว่าต้องอดทน
โดยเฉพาะหน้าร้อนยิ่งต้องอดทนเป็นอย่างมากพอกลับมาถึงวัดหลังจากผึ่งผ้าแล้วเมื่อหลวงปู่มาถึงพักนิดหน่อย
แล้วก็จัดอาหารใส่บาตรด้วยความระมัดระวัง อาหารทุกอย่างจัดลงในบาตร
ส่วนฝาบาตรก็ใส่น้ำไวสำหรับล้างมือ หลวงปู่ท่านจะคอยสังเกตดูว่าเสร็จหรือยัง
การฉันอาหารท่านจะฝันเงียบมาก แทบจะไม่มีเสียงทุกอย่างท่านทำด้วยสติไม่ยอมให้เผลอไม่ว่าอิริยาบถใดหลังจากฉันเสร็จแล้ว
ล้างบาตรเสร็จช่วยกันทำข้อวัตร ปัดกวาดเช็ดบริเวณศาลาให้สะอาด
แล้วค่อยกลับที่อยู่ของตน ตอนเย็น ประมาณ ๑๕.๐๐ น.
พระเณรปัดกวาดจากที่พักของตนลงมาที่ศาลา
ส่วนหลวงปู่ท่านก็ปัดกวาดลงมาที่ศาลา
และฉันน้ำปานะร่วมกันเท่าที่มี บางครั้งก็ต้มน้ำยาสมุนไพรที่ญาติช่วยกันหามาให้
หลวงปู่ท่านไม่ค่อยฉัน นาน ๆ จะฉันน้ำยาสมุนไพรครั้งหนึ่ง ท่านบอกว่าการฉันน้ำร้อน
น้ำชา กาแฟมาก ๆ รบกวนเวลาภาวนา เดี๋ยวก็ปวดเบาบ่อย ๆ รำคาญ
หลังจากฉันน้ำปานะเสร็จ ก็ไปสรงน้ำที่บ่อน้ำร่วมกัน หลวงปู่ท่านก็ไปด้วย
ถึงแม้พระเณรญาติโยมจะนิมนต์ท่านไม่ต้องลงมาสรงน้ำที่บ่อก็ได้
จะตักน้ำไปไว้ให้สองที่ถ้ำท่านก็ไม่ยอม ท่านบอกว่ายังช่วยตัวเองได้อยู่
หลวงปู่ท่านไม่ต้องการให้ลูกศิษย์กังวลใจการให้ลูกศิษย์กังวลใจกับท่านหลังจากสรงน้ำเสร็จ
ทุกองค์จะต้องหิ้วน้ำองค์ละ ๒ แกลลอน
เพราะเอาไว้ล้างบาตรของตนเองในวันพรุ่งนี้ต้องช่วยเหลือตนเอง และอีก ๑
แกลลอนก็ต้องเอาไปที่พักของตนเอง เพื่อเอาไว้ข้างหน้า บ้วนปาก
แปรงฟันและเอาไว้ล้างเท้าหลังจากเดินจงกรมเสร็จ หลวงปู่ท่านก็ทำเหมือนกัน
โดยทำให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ลูกศิษย์ พอถึงวันพระ ๘ ค่ำ ๑๕
ค่ำท่านก็พานั่งภาวนารวมกันที่ศาลาจนสว่าง พอสว่างก็จัดที่ฉัน
ท่านก็พาพระเณรลงรับบิณฑบาตที่หมู่บ้านตามปกติ
หลวงปู่ท่านไม่แสดงความอ่อนแอท้อแท้ให้ปรากฏ
ถึงแม้จะภาวนาอดหลับอดนอนทั้งคืนมาแล้ว ทั้งที่ท่านอายุก็มากแล้ว
แต่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญในการปฏิบัติภาวนา
ทำให้บรรดาลูกศิษย์มีกำลังใจในการปฏิบัติหลวงปู่ท่านทำเสมอต้นเสมอปลายไม่มีมารยา
พูดอย่างไรปฏิบัติอย่างนั้น ตามปกติหลวงปู่พูดน้อย เวลาพูดก็พูดเรื่องธรรมะปฏิบัติ
เรื่องโลก เรื่องสงสารการบ้านการเมือง หลวงปู่ไม่พูดให้ลูกศิษย์ฟังเลย
พูดแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมเท่านั้น
ในปี
แรกของหลวงปู่ท่านฝึกหัดบรรดาพระเณรที่เป็นลูกศิษย์อย่างเต็มที่
โดยท่านทำเป็นตัวอย่าง ไม่ว่าการนั่งภาวนา
หรือการเดินจงกรมในหนึ่งวันนั้นการปฏิบัติของท่านตอนเช้าหลังฉันเสร็จ
ล้างปากชำระฟันเสร็จ พระเณรเก็บผ้า เก็บบาตรของท่านที่บนถ้ำที่ท่านอยู่
พอท่านกลับถึงถ้ำกราบพระเสร็จท่านจะนั่งพิจารณาอาหารก่อนว่าที่เราฉันวันนี้มีอะไรบ้าง
ตอนแรกมีลักษณะอย่างไร ท่านก็จะพิจารณาตามหลักของความเป็นจริง
หลังจากเราเคี้ยวแล้วเป็นอย่างไร
เมื่อกลืนลงท้องแล้วมีลักษณะอย่างไรท่านว่าเมื่อเราพิจารณาดูตามหลักของความเป็นจริงแทบจะฉันอาหารไม่ลง
เพราะอาหารความจริงคือของปฏิกูลโดยแท้ อาหารที่
ว่าดีมีความสะอาดพอมาเคี้ยวกินเป็นอาหาร เวลาเราคายออกมาแล้วแม้แต่เราก็กลืนไม่ลง
แล้วถ้าคนอื่นจะขนาดไหน การพิจารณาอย่างนี้ ท่านว่าเพื่อตัดความโลภในอาหาร
จิตใจจะไม่ปรุงแต่งในเรื่องอยู่เรื่องกิน เมื่อเห็นตามหลักของความเป็นจริงแล้ว
อาหารก็เป็นเพียงเครื่องหล่อเลี้ยงร่างกายพอเป็นไป ถึงเราหามาบำรุงขนาดไหน
ร่างกายอันนี้ ก็คงจะถาวรไปไม่ได้ การกินอาหารก็เพียงระงับ
เวทนาไม่ให้เกิดขึ้นนั่นเอง
หลวงปู่ท่านระวังมากในเรื่องอาหารสิ่งไหนผิดกับโรคในร่างกายของท่านจะไม่ฉันเด็ดขาด
ถึงแม้อาหารนั้นจะดีเลิศขนาดไหนก็ตาม หลังจากพิจารณาอาหารเสร็จท่านก็เดินจงกรมก่อน
ท่านจะไม่นอน ท่านจะเดินจงกรมจนถึงเวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น.
ท่านจึงจะหยุดพักผ่อนแล้วประมาณ ๑๓.๐๐ น. ท่านก็จะออกมาเดินจงกรมจนถึงเวลาประมาณ
๑๕.๐๐ น. ท่านก็หยุด
พักเพื่อทำกิจวัตรประจำวันไม่เคยขาด
หลังจากสรงน้ำเสร็จเวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. ท่านก็จะเดินจงกรมอีกจนค่ำ
ท่านจึงจะพักหลังจากทำวัตรสวดมนต์เสร็จ ท่านก็จะนั่งภาวนาอย่างน้อย ๔ ทุ่ม
จึงจะพักผ่อน ตอนเช้าประมาณ ตี ๓
ท่านก็จะลุกทำวัตรสวดมนต์นั่งภาวนาจนถึงเวลาใกล้บิณฑบาตท่านก็จะไปที่ศาลา
หลวงปู่ท่านปฏิบัติของท่านมาตั้งแต่วันบวชโดยบังคับตัวของท่านเอง ปีแรก
ๆความเป็นอยู่ก็ลำบาก แต่ท่านก็อยู่ได้โดยไม่กังวล
พอปีต่อมาศรัทธาญาติโยมเริ่มรู้จักท่านด้วยเกียรติคุณในการปฏิบัติ
ได้มีญาติโยมถวายจตุปัจจัยสร้างอ่างเก็บน้ำขึ้นที่บนยอดเขาหนึ่งแห่งและที่ข้างศาลาอีกหนึ่งแห่งเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง
และทำฝายกั้นน้ำเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งตอนแรกก็พอใช้เนื่องจากญาติโยมที่รู้จัก
ท่านยังมีน้อย
ส่วนมากพระภิกษุสามเณรที่มาศึกษากับท่านไม่เคยขาดไม่ว่าหน้าแล้งหรือหน้าพรรษา
ซึ่งหลวงปู่ท่านก็รับไว้ด้วยความเมตตา
ซึ่งท่านพูดเสมอว่าพระผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจริง
ๆ รู้สึกจะมีน้อยมากในขณะนี้ ส่วนมากจะเน้นหนักในการก่อสร้างวัดถุภายนอก
ซึ่งไม่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าปัจจุบันนี้ก็มีแต่หลวงตามหาบัว
วัดป่าบ้านตาดเท่านั้นทีเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพระกรรมฐานแทบทั้งหมดที่สมควรเอาเป็นแบบอย่างเป็นที่เกาะทียึดไม่ว่าขั้นไหนภูมิไหน
หลวงปู่ท่านไม่ค่อยเทศน์นอกจากว่ามีพระเณรหรือฆราวาสปฏิบัติไม่ถูกต้อง
ท่านถึงจะพูดเพื่อเตือนสติ วันพระ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ หลังจากทำวัตรสวดมนต์เสร็จ
ท่านก็ให้เปิดเทปเทศน์ให้พระเณรฟัง โดยจะเปิดแต่เทศน์ของหลวงตามหาบัวเท่านั้น
ท่านบอกกับบรรดาลูกศิษย์เสมอว่า
"หลวงตามหาบัวท่านเทศน์แต่เรื่องการปฏิบัติเท่านั้น
ไม่มีเรื่องของโลกเข้ามายุ่งเกี่ยว มีแต่ธรรมเพื่อชำระกิเลสโดยแท้
ขอให้ท่านฟังแต่เทศน์ของหลวงตามหาบัวเท่านั้นก็พอแล้ว
ขอให้พวกท่านตั้งใจปฏิบัติตามแบบฉบับของท่าน
ส่วนตัวผมก็ปฏิบัติตามอย่างท่านเทศน์อะไรออกมาหาที่ค้านไม่ได้เลย
แม้แต่ตัวของผมก็ปฏิบัติมาแบบเดียวกัน"
หลวงปู่ท่านพยายามคัดค้านไม่อยากให้ญาติโยมสร้างถนนขึ้นไปวัด
เพราะจะทำให้การไปมาสะดวกจะทำให้ญาติโยมขึ้นมารบกวนการภาวนาของพระเณร
แต่ชาวบ้านเขาก็ไม่ยอมพยายามทำถนนขึ้นไปจนได้รับความสะดวกในการไปการมาของญาติโยมทางใกล้ทางไกลได้เดินทางมาทำบุญรับฟังพระธรรม
เทศนาจากท่านเกิดความเลื่อมใส
ได้ช่วยกันก่อสร้างเสนาสนะ ตกแต่งตามถ้ำต่าง ๆ เพื่อพระภิกษุสามเณรได้อยู่อาศัย
เนื่องจากพระเณรญาติโยมมีจำนวนมากขึ้นทุกปี ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้มีโยม
จากกรุงเทพฯ ได้มาพักภาวนาเป็นครั้งแรก
มีพระเณรจำพรรษา๑๕ รูป หลวงปู่ท่านได้พาปฏิบัติอย่างเต็มที่
โดยท่านพานั่งภาวนาตลอดคืน ในวันพระ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ
หลวงปู่ท่านมีความเมตตาต่อลูกศิษย์เป็นอย่างยิ่ง ท่านปฏิบัติเห็นผลมาอย่างไร ท่านอยากให้ลูกศิษย์ได้เห็นผลสิ่งนั้น
ในปีนี้ความเป็นอยู่ของพระเณรโดยเฉพาะเรื่องอาหารต่าง ๆ อุดมสมบูรณ์มาก
จนหลวงปู่ต้องพูดเตือนสติพระเณรอยู่เสมอ ไม่ให้ฉันมากให้พยายามผ่อนอาหารลงบ้าง
เพราะการฉันมากทำให้ง่วงภาวนาลำบาก โดยเฉพาะจำพวก หมู่พวกไก่สู้ฉันน้ำพริกกับพวกหน่อไม้ไม่ได้
ฉันของตามป่าตามดงนี้แหละไม่มีพิษมีภัย ภาวนาก็ดีไม่ง่วงเหงาหาวนอน
ผมคอยสังเกตดูสมัยอยู่วัดป่าหนองกอง อาหารมาก มีแต่อาหารไขมัน วันไหนฉันมาก ๆ
อยากจะนอนตั้งแต่อยู่ศาลา พอเดินถึงกุฏิไม่อยากเดินจงกรมภาวนาเพราะมันง่วง
พวกท่านยังหนุ่มยังน้อยระวังนะ ไข่นี้แหละเป็นตัวเสริมกามราคะเป็นที่หนึ่งเลย
เคยสังเกตดูไหม อย่าเห็นแก่ปากแก่ท้อง
หลวงปู่ท่านจะคอยดูลูกศิษย์ทั้งภายนอกภายในวันหนึ่งตอนกลางวันท่านพักผ่อนได้มีพวกเทวดาได้มากราบเรียน
ท่านให้ไปดูพระหน่อยกลัวท่านจะคอหัก
พอท่านลุกขึ้นจึงพิจารณาดูจึงลุกเดินไปดูพระที่ถ้ำใกล้ ๆ ท่าน
พอไปถึงเห็นพระนั่งหลับคอพับอยู่ ท่านได้แต่ปลงธรรมสังเวช
เหตุนี้เองเขาจึงไปกราบเรียนท่านเขากลัวพระจะคอหักตาย
โดยเฉพาะเวลาพระเณรหรือญาติโยมทำผิดหลวงปู่ท่านจะทราบพอถามท่าน
ท่านจะบอกว่าเทวดาเขามาฟ้องว่าพระเณรองค์ไหนทำผิดอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อย
ท่านจะคอยเตือนไม่ให้ประมาท โดยเฉพาะตอนกลางคืนตากผ้าต้องฝากในร่มภายในกุฏิ
ห้ามตากไว้ตามราวข้างนอก ที่อยู่ที่อาศัยต้องทำความสะอาดอยู่เสมอ
การไปการมาต้องระวังอย่าให้เทวดาเขาตำหนิว่าเราไม่มีข้อวัตรปฏิบัติไม่สมที่เรามาบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าหลวงปู่ท่านเทศน์เสมอว่า
อารมณ์เกิดจากการพูด อยากพูดมากพูดเสียแต่น้อย อยากพูดน้อยไม่พูดเสียดีกว่า
เพราะพูดมากย่อมคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
พอออกพรรษามีการทอดกฐินเสร็จแล้วตอนกลางคืนมีการฟังเทศน์นั่งภาวนาตลอดคืนโดยหลวงปู่ได้พูดว่า
เป็นการภาวนาฉลององค์กฐิน หลังจากเสร็จจากการทอดกฐินแล้ว
ได้นำจตุปัจจัยก่อสร้างเสนาสนะต่าง ๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ ญาติโยมก็เพิ่มขึ้น
น้ำไม่พอใช้ หลวงปู่ท่านได้ดำริว่า จะสร้างศาลาที่ใหม่
เพราะศาลาหลังเก่ารู้สึกจะคับแคบ ประกอบกับน้ำไม่พอใช้ไม่พอฉัน
บรรดาลูกศิษย์ทางกรุงเทพฯ จึงได้จองกฐินเพื่อนำปัจจัยมาก่อสร้างศาลาหลังใหม่
ก็เหมือนกับสร้างวัดใหม่เนื่องจากห่างจากศาลาหลังเก่า ประมาณ ๑ กิโลเมตร
ฉะนั้นหลวงปู่จึงได้ทำฝายกั้นน้ำอีก
ขุดสระเพิ่มขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้งตอนแรกสระน้ำขาดทั้งที่ทำอย่างดี
หลวงปู่สงสัยว่าทำไมถึงขาดได้หลวงปู่เลยได้บอกญาติโยมให้สร้างกุฏิให้ท่านใกล้ ๆ กับสระน้ำทีขาดบ่อย
ๆ เพื่อจะดูว่าเพราะเหตุใด หลวงปู่ท่านได้จ้างรถให้ไปทำ
สระน้ำขึ้นใหม่อีก
พอทำเสร็จแล้วพอเข้าช่วงฤดูฝน ฝนก็ตกน้ำก็มีปริมาณมากขึ้น คืนหนึ่งท่านภาวนาอยู่
มีชายคนหนึ่งใหญ่มากเดิน
มาจะเอาไม้เท้าแทงคูสระน้ำให้รั่ว
แต่หลวงปู่เห็นก่อน จึงพูดเตือนว่าอย่าทำนะ คนและสัตว์ต้องอาศัยน้ำขาดน้ำไม่ได้
ทำอย่างนั้นมันกรรมหนัก ไม่ได้กินข้าวกินแต่น้ำยังอยู่ได้หลายวัน
อย่ามาเบียดเบียนกันนะ ถ้าขืนทำจะเห็นดีกัน
ลดเสียมั่งทิฐิมานะของไม่ดีเก็บเอาไว้ทำไม เจอไม้เด็ดเข้าถึงกับคุกเข่าลงกราบแบบไม่รู้ตัว
หลวงปู่พูดแล้วก็หยุดหัวเราะ
หลวงปู่ว่าพวกพญานาคเขาเป็นสัตว์เดรัจฉานเวลาเขาโกรธเขาจะทำลายทันที
หลังจากนั้นมาฝายกั้นน้ำและสระน้ำก็ไม่ขาดอีก
ในช่วงที่กำลังก่อสร้างศาลาต้องใช้น้ำมาก เพราะพร้อมกันหลายอย่าง ถังเก็บน้ำ
ห้องน้ำ รวมทั้งสร้างกุฏิเพื่อถวายหลวงปู่ด้วย อยู่ห่างจากศาลาประมาณ ๒๐๐ เมตร
จะมีถ้ำมีน้ำใสสะอาดเหมาะสำหรับจะนำมาใช้
เพราะน้ำจะไหลออกมาไม่แห้งแม้จะเป็นหน้าแล้งก็ตาม พอสร้างถังเก็บน้ำเสร็จ
พระลูกศิษย์เลยไปซื้อเครื่องสูบน้ำมาติดตั้งบริเวณปากถ้ำที่มีน้ำไหลออกมา
พอเอาเครื่องไปสูบเครื่องก็พัง พอซ่อมแล้วเอาสูบอีกเครื่องก็พังอีก
พระลูกศิษย์จึงมากราบเรียนหลวงปู่
หลวงปู่ท่านจึงได้พิจารณาดูว่าพญานาคกลัวน้ำจะหมดและเอาเครื่องสูบน้ำไปตั้งบนหลังคาบ้านเขาเขารำคาญ
นอนไม่ได้จึงทำเครื่องสูบน้ำพัง หลวงปู่จึงสั่งพระลูกศิษย์ให้เก็บเครื่องสูบน้ำ
พวกนี้เขาหวง เมื่อไม่ให้ก็ไม่เอา หลวงปู่จึงได้ทำสระน้ำเพิ่มขึ้นอีกสองแห่ง
เพื่อจะกักเก็บน้ำให้พอเพียงในหน้าแล้งหลวงปู่พูดอีกว่าตอนที่เราทำฝายขุดสระข้างบน
พวกนี้ก็กลัวน้ำจะไม่ไหลไปหาเขาเพราะเขาอาศัยอยู่ในน้ำ
แต่ก่อนหวงฝายกั้นน้ำสระน้ำรั่วก็เพราะพวกนี้แหละ มันฉลาดแกมโกง พอเรามีน้ำพอใช้แล้วกลับมาบอกให้เราไปสูบน้ำมาใช้
ถ้าหลวงปู่ต้องการน้ำ ทีเราขาดแคลนน้ำไม่ให้ ข้างก็ไม่เอาไม่ง้อ
หลวงปู่พูดจริงจังและก็หัวเราะนาน ๆ
ท่านจะพูดครั้งหนึ่งทำเอาลูกศิษย์ทั้งตื่นเต้นไปตาม ๆ กัน การ
ก่อสร้างต่าง ๆ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ด้วยแรงศรัทธาของบรรดาลูกศิษย์ที่เคารพในองค์หลวงปู่ โดยเฉพาะลูกศิษย์ทางกรุงเทพฯ
ที่เป็นหัวเลี้ยวหัวแรงเกือบทุกอย่าง ลูกศิษย์ทางอุดรธานี
บ้านผือและชาวบ้านคำด้วงต่างก็ชวยกันก่อสร้างเสนาสนะต่าง ๆ
งานจึงไม่หยุดชะงักและสำเร็จลุล่วงด้วยดี สำหรับพระภิกษุสามเณรหลวงปู่ไม่อยากให้พระภิกษุสามเณรไปยุ่งกับการงานให้โยมเขาทำเอง
ในช่วงที่หลวงปูอายุย่างเข้าสู่วัยชรา ท่านได้เมตตาเล่าเรื่องต่าง ๆ
ที่ท่านเคยประสบมาให้บรรดาลูกศิษย์ฟังเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ ไม่ให้ประมาท
ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านแสดงออกมาจากการปฏิบัติของท่านเองโดยได้พูดถึงสถานที่ต่าง า
ที่ท่านเคยปฏิบัติโดยได้เล่าให้บรรดาลูกศิษย์ฟังตามแต่เวลาจะอำนวย
หลวงปู่ท่านชอบพูดถึงถ้ำแก้ว ว่าเป็นสถานที่สัปปายะเหมาะสำหรับภาวนา สงบร่มเย็น
ลูกศิษย์กราบเรียนถามท่านว่า ทำไมจึงเรียกว่าถ้ำแก้ว
หลวงปู่ได้เมตตาเล่าเรื่องครั้งภาวนาอยู่ที่ถ้ำแก้วแต่ก่อนเขาเรียกว่าภูบักแตก
ปัจจุบันเรียกถ้ำ
แก้ว
เรื่องมีอยู่ว่าหลังจากเดินจงกรมแล้วไหว้พระสวดมนต์
นั่งภาวนาเมื่อจิตสงบได้มีภูมิเทวดาองค์หนึ่งเดินเข้ามาแล้วนั่งกราบเอามือล้วงเข้าไปในย่ามหยิบวัตถุสิ่งหนึ่งขึ้นมา
มีลักษณะเรียวยาวสวยงาม
ใหญ่ขนาดแขนมีสีสวยงาม หลวงปู่ถามว่ามาจากไหน
ภูมิเทวดาองค์นั้นตอบว่า
กระผมอาศัยอยู่ในถ้ำข้างล่างห่างจากกุฏิหลวงปู่นี้ครับหลวงปู่ถามว่ามาอะไร
กระผมเอาแก้ววิเศษมาถวายหลวงปู่ครับ
กระผมเคยถวายหลวงปู่หล้า ขันติโก
ท่านก็ให้เก็บไว้ท่านไม่เอากระผมจึงเอามาถวายหลวงปู่ ผมเข้าอยู่นานแล้ว
ผมจะได้ไปเกิดหลวงปู่นั่งพิจารณาพวกนี้จะลองใจเราว่าจะเป็นผู้มักมากในสิ่งเหล่านี้ไหม
แม้หลวงปู่หล้ายังไม่เอา เราจะเอาในสิ่งที่หลวงปู่หล้ายังไม่เอาหรือ
เราออกบวชเมื่อออกจากทุกข์ในวัฏฎสงสาร หาธรรมอันเลิศ ประเสริฐกว่าสิ่งใดในโลก
มรรคผลคือสิ่งทีเราต้องการหลวงปู่จึงถามว่าแก้วนี้ดีอย่างไร
เขาตอบว่าแก้วนี้เป็นแก้วสารพัดนึกเหาะเหินเดินอากาศได้ตามต้องการครับ
หลวงปู่บอกให้เขาเอาเก็บไว้ใช้เองเถอะ อาตมาออกบวชเมื่อละสิ่งทั้งมวล
แม้ครอบครัวไร่นาสมบัติก็สละแล้ว
เก็บเอาไว้ให้เจ้าของเขาเถอะอาตมาไม่เอาหรอกหลวงปู่หยุดเรื่อง แล้วแสดงธรรมว่า การภาวนาในป่าเขาย่อมมีอะไรแปลก
ๆ มาหลอก ก็อย่าไปหลง ให้ดูที่จิต ดูความเคลื่อนไหวของจิต
ความคิดความปรุงแต่งในรูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัส - กาย-ใจ ตา เป็นต้น
ก็เข้าถึงใจให้ระวัง ตัวจริงอยู่ในจิตใจไม่ใช่ภายนอก จิตนี้ไม่เคยตาย
แตกสลายเพียงธาตุขันธ์ จิตเป็นผู้เวียนว่ายตายเกิด กิเลสมีอยู่ในจิตใจ
สติเป็นเครื่องมือสกัดกั้นกิเลส ปัญญาพิจารณาสาเหตุและผล กำหนดดูร่างกาย
พระไตรปิฎกทั้ง๓ คัมภีร์มีอยู่ในกาย
อย่าเหินห่างจากธรรมวินัยอดทนต่อสู้พระพุทธเจ้าเป็นยอดนักรบ
พวกเราเป็นบุตรนักรบต้องรบจนเลือดหยดสุดท้าย รักษาให้ดี ระเบียบ ธรรมวินัย
เดินตามหลักธรรมวินัย คือหนทางแห่งความพ้นทุกข์ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ธรรมเป็นยอดโอสถ
หลวงปู่ได้แสดงเรื่องระดับโรคด้วยธรรม
เมื่อครั้งเกิดเป็นไข้ป่าต่อสู้ด้วยใจมีสติธรรม ปัญญาธรรม
วันหนึ่งหลังจากเดินจงกรมเสร็จ ก็ไปนั่งถ่ายเบา คนเป็นไข้ตัวร้อน (ทั้งเยี่ยว
ทั้งตด)มันออกตามธรรมชาติเป็นเรื่องธรรมดา
หลวงปู่ได้ยินเสียงหัวเราะพิจารณาดูก็รู้ว่าเป็นเทวดา ไม่ใช่มนุษย์ท่านจึงพูดว่า
จะมาหัวเราะ
ทำไม มันก็เหมือนกันนั่นแหละไปหาหยูกหายามาไป
บอกพวกมนุษย์หายามาไป แล้วก็ขึ้นกุฏิภาวนาต่อ กำหนดจิตพิจารณาเวทนาที่เกิดขึ้นในร่างกาย
โรคกายก็ส่วนหนึ่ง ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของธาตุขันธ์
เพราะร่างกายเป็นเรือนของโรค ความคิดปรุงแต่งยึดในทุกข์เวทนาที่เกิดขึ้น
อยากให้มันหาย เมื่อไม่หายก็ทุกข์หนักเข้าไปอีก ของเก่าก็เต็มอยู่ในใจ ราคะตัณหา
ความโกรธ ความหลงมีเป็นทุนเดิม เมื่อทุกข์เกิดก็อยากให้ทุกข์หาย
เมื่อสุขเกิดก็อยากให้สุขอยู่เช่นนั้น เมื่อไม่ได้ดังใจก็ทุกข์
พอพิจารณาแล้วก็กำหนดดูจิต เมื่อจิตรวมเป็นหนึ่งเดียว เวทนาได้หายไปหมด
มีเพียงผู้รู้เท่านั้น
เมื่อจิตถอนออกมากำลังของสมาธิก็ข่มเวทนาทั้งหมดพอตอนเช้าก็มีชาวบ้านนาเก็นเอาทั้งข้าวทั้งยาขึ้นไปถวาย
หลวงปู่พูดทิ้งท้ายว่า "เทวดานี้ก็ดีนะ"
อดีตชาติของหลวงปู่ เคยเกิดเป็นไส้เดือน
หลวงปู่เน้นหนักเรื่องการรักษาศีล ภาวนา
อันเป็นเครื่องถอดถอนกิเลส เพราะหลวงปู่รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว
จึงบอกให้ลูกศิษย์ประพฤติปฏิบัติ แสดงออกแต่ละบทแต่ละบาทไม่สะทกสะท้านพูดอย่างอาจหาญ
หลวงปู่ท่านเคยเล่าว่า
ครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นไส้เดือนเพราะไปล้อมรั้วสวนแล้วล้ำเอาที่ดินเขาแค่ไม่ถึงศอก
ตายไปตกนรกพอหมดกรรมจากนรกขึ้นมา ต้องมาใช้เศษผลกรรม
จึงได้มาเกิดเป็นไส้เดือนตรงที่เอาที่ดินของเขานั้นเอง จนหมดเศษกรรม
เคยเกิดเป็นพระราชา
หลวงปู่ท่านเล่าว่าครั้งหนึ่งท่านเคยเกิดเป็นพระราชาปกครองบ้านเมือง
เพราะบุญเก่าเคยสร้างมา หลงอำนาจวาสนาขาดศีลธรรมใช้อำนาจบาตรใหญ่
บังคับขู่เข็ญเห็นแก่ตัวดูอย่างผมนี่เสียงแหบแห้ง พูดมากก็ไม่ได้เสียงก็ขาด ๆหาย ๆ
เป็นเพราะเศษกรรมเก่าเมื่อครั้งเป็นพระราชา มีอำนาจตัดสินคดีความ
จะเฆี่ยนตีก็เพราะพระราชาสั่ง จะตัดหัวก็เพราะพระราชาสั่ง ไม่พอใจด่าว่าสารพัด
นี้เห็นหรือยังกรรมตามมาให้ผล เหตุที่ทำให้ขาเจ็บนิ้วก็งอเวลาเดินก็เจ็บ
เพราะเศษกรรมเก่าเมื่อครั้งเป็นพระราชาใช้เท้าเตะนักโทษที่กระทำความผิดกรรมจึงมาให้ผลในชาตินี้
การมีครอบครัวมาบวชภาวนายาก คนหนุ่มไม่มีครอบครัวมาบวชมันไม่ลำบาก ถ้าอดทนสู้
ครูบาอาจารย์ยังพอมีอยู่ให้เร่งภาวนา เพราะโลกทุกวันนี้คนมีศีลธรรมน้อย
ยักษ์มารเปรตผีมีมากโลกนี้จึงวุ่นวาย นับวันก็จะยิ่งวุ่นวาย
ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นน้ำดับไฟในใจของผู้ปฏิบัติตามหลักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถึงโลกนี้เขาจะเดือดร้อนแต่เราเย็นสบาย เพราะใจมีสติปัญญาคอยอบรมสอนใจอยู่เสมอ
สุขย่อมมีอยู่อย่างนั้น
เปรตขอส่วนบุญ
คราวหนึ่งมีคนตายในหมู่บ้าน
เขานิมนต์พระไปสวดมาติกาบังสุกุล หลวงปู่ได้ให้พระเณรไป
หลวงปู่ท่านไม่ไปเพราะส่วนมากงานศพจะมีการเลี้ยงสุรา เล่นการพนันด่าง ๆ
ท่านว่าเป็นการทำบุญที่ไม่ถูกต้องตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
พอพระภิกษุสามเณรไปเผาศพที่ป่าช้าเสร็จ
ก็เก็บเอาสิ่งของที่เขาทิ้งตามป่าช้าโดยถือว่าบังสุกุล พอจะกลับพระรูปหนึ่งเลย
พูดว่า ใครจะไปรับส่วนบุญทีวัดภูคันจ้องขึ้นรถ พอรถวิ่งออกจากป่าช้าเสียงรถนั้นก็เหมือนรถบรรทุกของหนัก
เณรที่นั่งมาก็หันซ้ายหันขวาแล้วบอกว่าเหมือนมีอะไรอยู่ข้าง ๆ ดูสิขนลุก
พระตอบว่าสงสัยจะตามมาเอาเสียม ที่เอามาด้วย พอรถมาถึงเขตวัดเป็นทางขึ้นเนิน
แต่รถมีเสียงเบา ตกเย็นหมาก็เห่าหอนผิดปกติ ตนเช้าหลวงปู่พูดว่า พอพระกลับมาหมดมันหอน
ขณะเดินจงกรมอยู่จึงหยุด ยืนกำหนดดู เห็นเปรตสองตนยืนอยู่ข้างศาลา (ศาลาหลังเก่า)
ตัวสูงเท่าศาลา ตามตัวมีตุ่มเท่ามะกรูดมะนาว หลวงปู่จึงถามว่ามาอะไร
เปรตตอบว่ามาขอส่วนบุญครับได้ยินชื่อหลวงปู่มานานแล้วแต่มาไม่ถูก
หลวงปู่ถามว่าวันนี้ทำไมถึงมาได้ เปรตตอบว่าพระที่วัดหลวงปู่เรียกให้ขึ้น
รถมาด้วยครับถึงได้มาถูก
หลวงปู่จึงแผ่เมตตาอุทิศให้ แล้วถามว่าทำกรรมอะไร เป็นใคร มาจากไหน
เปรตสองตนเงียบไปครู่หนึ่งตอบว่ากระผมเป็นทายกที่วัดเอาของสงฆ์ จึงเป็นเปรต
อดอยากมา
นานได้ยินชื่อหลวงปู่แต่มาไม่ถูก พึ่งได้รับ ส่วนบุญวันนี้เองขอรับประพฤติผิดศีลธรรม
เอาของสงฆ์ตายไปเป็นเปรตใช้กรรมอีกนานถึงจะพ้น อย่าขี้เกียจขี้คร้านในการสร้างความดี
นรกมี มนุษย์มีสวรรค์มี โลกมนุษย์เป็นแดนกลางเป็นแหล่งสร้างความดี
มนุษย์ทีเกิดมาพบพระพุทธศาสนาเป็นลาภอันประเสริฐเป็นของยากที่จะเกิดมา เป็น มนุษย์
ประวัติอาการอาพาธของหลวงปู่คำตา ทีปังกโร
ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ นั้น
หลวงปู่จะหยิบยกเรื่องของหลวงปู่ชอบอยู่เสมอ
คือท่านบอกว่าดูอย่างหลวงปู่ชอบท่านเป็นพระอรหันต์กรรมยังไม่เว้น
กรรมตามให้ผลแค่ร่างกาย แต่จิตของท่านหลุดพ้นไปแล้ว หลวงปู่พูดเรื่องนี้สามครั้งและยังย้ำว่าต่อไปก็จะไม่พูดไม่สอนไม่พาน่งภาวนาอย่างนี้อีก
ให้ทำเองพาทำมานานแล้ว อยู่ที่บ้านก็ทำ เองวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๕
ตอนเช้าวันนั้นหลวงปู่ไม่ออกบิณฑบาต พอพระเณรกลับจากบิณฑบาต
มีพระรูปหนึ่งเข้าไปกราบเรียนถามเพราะเห็นลักษณะผิดปกติ
แขนด้านขวามีรอยถลอกพระรูปนั้นถามหลวงปู่ว่าล้มหรือครับ
หลวงปู่ตอบว่าใช่ไม่เป็นไรพร้อมยกแขนขึ้นให้ดูพร้อมกับรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยเมตตา
หลังจากฉันข้าวเสร็จ หลวงปู่กราบพระแล้วลุกไม่ขึ้น พระเณรต้องพยุงกลับกุฏิ
พอตกตอนเย็นก็ขยับตัวลุกไม่ขึ้น พระเณรต้องผลัดเปลี่ยนกันเข้าเวรคอยดูแล คราวละ ๒
รูป ต้องคอยอยู่ข้างตลอดรุ่ง ถึงจะลำบากขยับไม่ได้ ลูกไม่ได้
เพราะครึ่งหนึ่งเป็นอัมพาตไม่มีแรงยกเลย
แต่หลวงปู่ก็นั่งโดยเอาหมอนรองด้านหลังและข้างถ้านั่งนานบางครั้งช่วงแรก ก็ ๑
ชั่วโมง ในหนึ่งวันก็จะมีพระหนึ่งรูปเข้าเวรพอถึงตอนเย็น ๖
โมงก็เข้ากุฏิเพราะอากาศหนาว วันหนึ่งหลวงปู่จะนั่งตั้งแต่ ๖ โมงเย็นถึง ๓ ทุ่ม
พอจะพักก็บอก พอตีสองหลวงปู่ก็จะเรียกพระเพราะปวดเบา
พระจะถามหลวงปู่ว่าหนาวไหมครับหลวงปู่ ปวดขาไหม หลวงปู่บอกว่าหนาวอยู่ ปวดขาอยู่
แต่ก็แค่นั้นแหละ พอตี ๓ หลวงปู่ก็นั่งภาวนาต่อจนถึง ๖ โมงเช้า
ถึงหลวงปู่จะพูดไม่ชัด
แต่ก็แสดงธรรมด้วยการปฏิบัติให้เห็นถึงความอาจหาญไม่หวั่นไหว
สองสามเดือนแรกก็พอขยับได้แต่ต้องพยุง
หลังจากนั้นก็เดินได้แต่ต้องอาศัยไม้เท้าช่วยเดิน
ไม่ใช้รถเข็นโยมนำมาถวายหลวงปู่ก็ยังเดินขึ้นลงศาลาและกุฏิอยู่อย่างนั้น ก่อนเข้าพรรษา๑
เดือนหลวงปู่ลงอุโบสถด้วย วันนั้นถามหลวงปู่ว่า
นั่งรถเข็นนะครับหลวงปู่และเอารถเข็นเข้ามา หลวงปู่ยิ้มแล้วพูดว่าเอามาลองดูซิ
หลังจากนั้นก็นั่งขึ้นลงศาลาเป็นประจำ
ในวันเข้าพรรษาตอนเช้าท่านพูดกับพระเณรที่คอยปฏิบัติว่า
ช่วงนี้เหนื่อยมากไม่พ้นพรรษานี้หรอกหลังจากฉันข้าวเสร็จ
คณะลูกศิษย์ที่มาจากกรุงเทพฯและชาวบ้านได้ตามไปที่กุฏิ
หลวงปู่ก็บอกว่าเหนื่อยมากคงไม่พ้นพรรษานี้ แล้วอาการป่วยก็ทรุดลง มีไข้เป็นบางวัน
พอวันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็นวันอุโบสถ หลวงปู่ก็มาประชุมฟังเทศน์
โดยเปิดเทปม้วนหลักใจของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนเพราะส่วนมากก็ฟังแต่หลวงตาบ้านตาด
ฟังเทศน์จบหลวงปู่ก็ถามญาติโยมว่าต่ออีกไหมฟังเทศน์เข้าใจไหมไม่ฟังก็เลิกกัน
พอหลังจากนั้นก็เอารถเข็ญมารับหลวงปู่ขึ้นกุฏิ
พอรุ่งขึ้นวันใหม่อาการของหลวงปู่ก็ทรุดหนัก
หลังจากอาหารเสร็จหลวงปู่ก็นั่งตัวโก่ง ฉันข้าวไม่ได้จนผิดสังเกต
มีพระกราบนิมนต์หลวงปู่ฉันข้าว หลวงปู่ก็บอกว่าไม่ฉัน
แล้วโยมก็นิมนต์หลวงปู่ให้ฉันก็ตอบเหมือนเดิมว่าไม่ฉัน
ถ้าหลวงปู่ไม่ฉันข้าวก็ขอนิมนต์หลวงปู่ขึ้นไปพักผ่อนที่กุฏิก่อนขอรับ
หลวงปู่ก็ตอบว่าไปตั้งแต่วันนั้นมาหลวงปู่ก็ฉันข้าวลดลงเรื่อย ๆ ร่างกายก็อ่อนเพลียมีไข้เป็นระยะ
พอตกตอนเย็นก็จะมีไข้หนักตัวร้อนและสั่น อาการของหลวงปู่เป็นอย่างนี้ได้ ๖-๗ วัน
คณะศิษย์ได้ปรึกษาหารือกันว่านิมนต์หลวงปู่ไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชอำเภอท่าบ่อ
ซึ่งคณะศิษย์ได้ติดต่อกับทางโรงพยาบาลแล้ว คณะศิษยานุศิษย์ได้เข้าไปกราบเรียนหลวงปู่
ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่ออาหารจะดีขึ้น หลวงปู่ทานก็นิ่งเฉยไม่พูดอะไร
พอกราบเรียนเป็นครั้งที่ ๒ หลวงปู่ก็ตอบว่า "อื้อ"
ทางโรงพยาบาลได้นำรถมารับหลวงปู่อยู่ที่วัด
หลวงปู่ท่านพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหกวัน ขณะหลวงปู่ได้รับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น
อาการของหลวงปู่ก็ดีขึ้นตามลำดับ ในวันที่ ๒๕ หลวงปู่เพียร วิริโย
วัดป่าบ้านหนองกองได้ไปเยี่ยมหลวงปู่ที่โรงพยาบาล ตอนเช้าวันที่ ๒๖ หลวงปู่
ก็กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่วัด
เมื่อกลับมาอยู่วัดอาการของหลวงปู่ก็กำเริบอีกมีแต่ทรงกับทรุด คณะศิษย์ได้นิมนต์หลวงปู่ไปรักษาตัวอีกครั้งแรกหลวงปู่ก็นิ่งเฉย
ครั้งที่ ๒ หลวงปู่จึงบอกว่าไป และอยู่รักษาตัวที่โรงพยาบาลหนองคาย ๓ วัน
อาการก็ยิ่งทรุดลงทุกวันวันที่ ๒ กันยายนตอนเช้าก็สุดความสามารถของหมอ
หลวงปู่ออกจากโรงพยาบาลมาอยู่วัด เวลา ๑๓.๐๐ น. จนถึงเวลา ๑๔.๑๔ น. หลวงปู่ก็มรณภาพ
ตรงกับวันอังคารที่ ๒ กันยายน ๒๕๔๖ สิริอายุ ๗๖ ปี ๓๐
พรรษาประชุมเพลิงศพหลวงปู่พอหลวงปู่ท่านมรณภาพ หลวงปู่เพียร วิริโย
ท่านได้มาเป็นประธานการประชุม เพื่อจัดงานประชุมเพลิงศพหลวงปู่
โดยได้ตกลงกันว่าจะทำแบบเรียบง่าย ไม่เก็บศพไว้นานจะเป็นภาระแก่บรรดาลูกศิษย์เราเป็นนักปฏิบัติต้องทำแบบพระกรรมฐานจริง
ๆ ทำอะไรต้องพอเหมาะพอดี ไม่ใช่ทำอวดโลกอวดสงสาร
เมื่อประชุมเสร็จก็ตกลงกันว่าจะเอาไว้ ๕ วัน มีเวลาเตรียมงาน ๔ วัน
บรรดาลูกศิษย์แบ่งงานกัน เนื่องจากมีเวลาน้อย ประกอบกับอยู่ในช่วงพรรษา
ศพหลวงปู่ตั้งที่ศาลาใหม่ ไม่มีการสวดอภิธรรมในตอนเย็นโดยตั้งไว้ให้ญาติโยมสักการบูชาไม่มีทอดผ้าบังสุกุล
ก่อนหลวงปู่มรณภาพได้สั่งว่า ถ้าท่านตายไปไม่ต้องสวดมาติกาบังสุกุล
ท่านบอกว่าท่านสวดมาพอแล้วให้เผาเลย
บุญไม่ได้อยู่ทีการสวดมาติกาบุญอยู่กับการกระทำของตนเองต่างหาก บรรดาพระภิกษุ-สามเณรที่เคยเป็นลูกศิษย์ของท่าน
เมื่อทราบข่าวได้มาช่วยงานเป็นจำนวนมากต่างก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ
ทั้งญาติโยมก็ช่วยกันอย่างเต็มทีเพียง ๔ วัน ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยวันที่ ๗
กันยายน ๒๕๔๖ เวลา ๑๓.๐๐ น. พระสงฆ์สวดมาติกาบังสุกุล โดยมีหลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ
วัดป่านาคูณ เป็นประธาน หลวงปู่เพียร วิริโย วัดป่าหนองกอง หลวงปู่ลี
กุสลธโรวัดผาแดง อ.หนองวัวซอร่วมสวดมาติกาบังสุกุล เวลาประมาณ ๑๔.๐๐ น.
ประชุมเพลิงศพหลวงปู่ เวลา ๑๕.๐๐ น. พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ตอนเย็นเวลา เวลาประมาณตี ๓ เก็บอัฐิหลวงปู่
ตอนเช้าพระภิกษุ -
สามเณรรับบิณฑบาตรอบศาลาการเปรียญญาติโยมถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุ-สามเณร
จากนั้นอุบาสก - อุบาสิกาที่มาร่วมงาน
รับประทานอาหารร่วมกันเสร็จพิธีบายหลังเก็บอัฐิหลวงปู่เรียบร้อยแล้ว ปะมาณ 2
อาทิตย์ปรากฏพระธาตุที่แปรสภาพจากอัฐิ และอังคารจำนวนมากมาย
ซึ่งครูบาอาจารย์สำคัญองค์หนึ่งได้กล่าวว่า
ท่านหมดความลังเลสงในองค์หลวงปู่ท่านนี้อยู่แล้ว
ที่มา : www.dhammajak.net